หลอดเลือดหัวใจตีบเกิดจากโคเลสเตอรอลไปสะสมตามผนังหลอดเลือด
จนกลายเป็นคราบตะปุ่มตะป่ำทำให้หลอดเลือดหัวใจบริเวณนั้นตีบแคบลง
ส่งผลให้เลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ
คราบไขมันที่อยู่ในหลอดเลือดนั้นมีลักษณะเหมือนแผล
ร่างกายจึงพยายามปกปิดแผลด้วยการสร้าง ฝา แข็งๆ ขึ้นมาปิดไว้เหมือนสะเก็ดที่แผล
หากคราบไขมันหยุดการเจริญเติบโตฝานี้ก็จะปิดได้สนิท ก้อนไขมันจึงมีโอกาสแตกออกน้อย
แต่ถ้าคราบไขมันยังหนาตัวขึ้นเรื่อยๆ ฝาปิดนี้ก็จะบางลงและเปราะแตกได้ง่าย
ทำให้อนุภาคของไขมันที่อยู่ข้างในกระจายสู่กระแสเลือด ซึ่งจะไปกระตุ้นกระบวนการแข็งตัวของเลือดในร่างกาย
ทำให้เกิดลิ่มเลือดไปอุดตันหลอดเลือดหัวใจอย่างรวดเร็วและส่งผลให้เกิดหัวใจพิบัติ
ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ทั้งชายและหญิง
ในปัจจุบันพบว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในกลุ่มคนอายุ 35-45 ปีมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากต้องดำเนินชีวิตแบบเร่งด่วนและพึ่งพาอาหารสำเร็จรูปที่มีไขมันสูง
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบจึงไม่เป็นโรคของผู้สูงอายุอีกต่อไป
อาการของหลอดเลือดหัวใจตีบ
ในกรณีหลอดเลือดหัวใจยังตีบไม่มาก
คุณอาจไม่รู้สึกอาการใดๆ อาการต่างๆ จะเกิดขึ้นต่อเมื่อหลอดเลือดหัวใจตีบไปมากกว่า75% อาทิ
- เจ็บหน้าอก รู้สึกปวด แน่น จุกเสียดบริเวณหน้าอก
ลำคอ ท้องส่วนบนหรือต้นแขน ในขณะเครียดหรือออกกำลัง
เมื่อได้พักอาการมักจะดีขึ้น
- หายใจไม่เต็มปอด อาการหายใจลำบากและเหนื่อยง่ายเกิดขึ้นได้ไม่ว่าในขณะออกแรง
พักผ่อนหรือนอนหลับ
- บวม อาการบวมบริเวณข้อเท้ามักเกิดขึ้นในเวลาค่ำ
- ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว แรงหรือผิดจังหวะ
- อ่อนเพลีย รู้สึกไม่มีแรง เหนื่อยง่ายผิดปกติ
- เป็นลม หมดสติอย่างเฉียบพลันหรือรู้สึกศีรษะเบาหวิว
แต่อย่างไรก็ตาม จากสถิติทางคลินิกพบว่า หัวใจพิบัติมักเกิดขึ้นโดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า
โดยเฉพาะในผู้หญิงเจ้าตัวไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นโรคหัวใจ
แต่อยู่ๆ ก็ล้มลง หายใจไม่ออก ต้องนำส่งโรงพยาบาลหรืออาจเสียชีวิตทันที
ผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงโชคร้ายกว่าผู้ป่วยกลุ่มที่มีอาการเตือน
จึงต้องมีการบำบัดและเอาใจใส่ตนเองอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยเสี่ยงที่คุณเปลี่ยนแปลงไม่ได้
- กรรมพันธุ์ : ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ติดตัวมากับคุณตั้งแต่เกิด
มีความผิดปกติทางพันธุกรรมหลายอย่างที่จะทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูง
- ประวัติครอบครัว : คุณอาจมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้น
ถ้าหากว่าปู่ พ่อหรือพี่ชายของคุณเป็นโรคหัวใจก่อนอายุ 55 ปี หรือว่ายาย
แม่หรือพี่สาวคุณเป็นโรคหัวใจก่อนอายุ 65 ปี
- อายุและเพศ : ผู้ชายมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากกว่าผู้หญิง
โดยเฉลี่ยผู้ชายจะเป็นโรคหัวใจเร็วกว่าผู้หญิง 10 ปี
แต่เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ความเสี่ยงก็จะเท่ากับผู้ชาย
- เชื้อชาติ : เชื้อชาติมีผลต่อความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและวิถีการดำเนินชีวิต
ปัจจัยเสี่ยงที่คุณเปลี่ยนแปลงได้
วิถีการดำเนินชีวิตของคุณมีผลต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบไม่น้อยทีเดียว
ถึงแม้ว่าคุณอาจมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
จะทำให้คุณลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้
- การสูบบุรี่ ซึ่งจะทำให้ระดับ HDL โคเลสเตอรอล (ไขมันตัวที่ดี)
ลดลงและทำลายหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นน้อยลง
ผนังหลอดเลือดจะเปลี่ยนสภาพเป็นเหมือนกาวดักแมลงวัน ไขมันและสิ่งสกปรกอื่นๆ
จึงมาเกาะติดได้มากขึ้น
ดังนั้นการเลิกสูบบุรี่อาจสำคัญกว่าการบำบัดภาวะโคเลสเตอรอลในเลือดสูงก็ได้
- ขาดการออกกำลังกาย ซึ่งมีผลร้ายต่อร่างกายโดยเฉพาะหัวใจ
ผู้ที่ชอบนั่งกับที่มีโอกาสเกิดโรคหัวใจมากกว่าผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำเกือบ
2
เท่า การออกกำลังกายช่วยเพิ่ม HDL โคเลสเตอรอล และลด LDL โคเลสเตอรอล (ไขมันตัวที่ไม่ดี)
ทำให้ร่างกายตอบสนองอินซูลินดีขึ้นและลดความดันโลหิต ถ้าคุณมีโคเลสเตอรอลสูงหรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
ของโรคหัวใจ การออกกำลังกายช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรงและมีสุขภาพดีขึ้น
- การรับประทานอาหาร แม้ว่าคุณมีโคเลสเตอรอลปกติก็ตาม
แต่การรับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้ ธัญพืชและเส้นใยน้อยเกินไป
จะทำให้คุณมีโอกาสเกิดโคเลสเตอรอลสูงและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้
- การดื่มกาแฟ : สำหรับคนทั่วไปแล้ว
การดื่มกาแฟจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเพียงเล็กน้อย
แต่ถ้าคุณเป็นคอกาแฟที่มีการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วหรือมากกว่า
จะทำให้ระดับโคเลสเตอรอลสูงขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
- ท้องผูกเป็นประจำ คุณอย่าเพิ่งงงว่าท้องผูกจะไปเกี่ยวอะไรกับระดับโคเลสเตอรอลและโรคหัวใจ
คุณอาจต้องทำความรู้จักกับที่มาและการทำงานของน้ำดีเสียก่อนคือ
ตับมีการขับโคเลสเตอรอลส่วนเกิน แคลเซียมส่วนเกิน ไขมันที่ผ่านการออกซิเดชั่น
สารพิษและของเสียไปที่ถุงน้ำดี จากนั้น ถุงน้ำดีจะสังเคราะห์ของเสียเหล่านี้ให้กลายเป็นน้ำดี
และส่งผ่านท่อน้ำดีไปยังลำไส้เล็กส่วนต้น
เพื่อย่อยน้ำมันและไขมันที่เรารับประทานเข้าไปให้เป็นกรดไขมัน
จากนั้นน้ำดีก็จะไหลเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ ช่วยหล่อลื่นผนังลำไส้ใหญ่
กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่และช่วยการขับถ่าย แล้วน้ำดีเหล่านี้ก็จะถูกขับออกจากร่างกายพร้อมอุจจาระ
ถ้าคุณท้องผูกน้ำดีก็จะตกค้างในลำไส้นานเกินไปและถูกดูดซึมกลับไปยังตับ
ผลที่ตามมาคือเพิ่มภาระให้ตับและทำให้โคเลสเตอรอลสูงขึ้น
- น้ำหนักตัวของคุณ การมีน้ำหนักตัวเกินจะทำให้ LDL โคเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นและ HDL โคเลสเตอรอลลดลง
โดยเฉพาะไขมันบริเวณรอบเอว (เกิน 40 นิ้วในผู้ชายและ 35 นิ้วในผู้หญิง) จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ
- ความเครียด ความเครียดมีผลต่อหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ
ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทซิมพาเธติก
ส่งผลให้โรคหลอดเลือดหัวใจตีบทวีความรุนแรงขึ้น และเร่งให้เกิดการทำลายชั้นเซลล์ของผนังหลอดเลือดแดง
ข้อจำกัดของการทำบอลลูนและบายพาส
เมื่อเรามีอาการแล้วไปพบแพทย์มักจะได้รับคำแนะนำให้ฉีดสี
หากพบว่าหลอดเลือดหัวใจตีบอาจทำบอลลูนขยายหลอดเลือด
หรือในกรณีที่มีอาการตีบมากอาจต้องผ่าตัดหัวใจทำบายพาส
การทำบอลลูนคือการสอดท่อที่มีบอลลูนเข้าไปในหลอดเลือดหัวใจ
เพื่อเบียดให้ไขมันแบนลงไปติดที่ผนังหลอดเลือด
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือไขมันในหลอดเลือดยังมีมากเท่าเดิมเพียงแต่ถูกเบียดให้แบนลงเท่านั้น
หลอดเลือดหัวใจของผู้ป่วยจึงมักจะกลับมาตีบใหม่ภายใน 3-6 เดือนหลังการทำบอลลูน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโลหิตสูงหรือโรคไต
โอกาสกลับมาตีบใหม่ก็จะเร็วขึ้น
ส่วนการทำบายพาสหัวใจนั้นแก้ไขได้เฉพาะหลอดเลือดหัวใจเท่านั้น
สำหรับหลอดเลือดส่วนอื่นๆ ของร่างกายก็ยังคงสภาพตีบเช่นเดิม
เนื่องจากอาการตีบเกิดขึ้นได้ในหลอดเลือดทุกส่วนของร่างกาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ตับ ไต
และอวัยวะอื่นๆ ก็มักจะมีอาการตีบเช่นกัน
หากอาการตีบเกิดขึ้นในหลอดเลือดสมองก็จะทำให้ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ขี้หลงขี้ลืม
แขนขาอ่อนแรง ใบหน้าบิดเบี้ยว ลิ้นชา พูดไม่ชัด ตามัวและเดินเซเหมือนคนเมาเหล้า
หากอาการตีบเกิดขึ้นในหลอดเลือดที่แขนขาก็จะทำให้แขนขาเหน็บชา
หรือในผู้ป่วยเบาหวานอาจต้องตัดนิ้วเท้าหรือตัดขาในที่สุด
วิธีการบำบัดของทัศนะการแพทย์จีน
สำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
หลักการวินิจฉัยและบำบัดอันสำคัญที่การแพทย์จีนยึดถือมาตลอดคือ ปวดแสดงว่าไม่โล่ง โล่งแล้วก็จะไม่ปวด (通则不痛, 痛则不通) ไม่โล่งหมายถึงหลอดเลือดและเส้นลมปราณมีการติดขัดและสะดุด
ทำให้เลือดและพลังชี่ไหลเวียนไม่สะดวกจนเกิดอาการปวดหรือเจ็บนั่นเอง
การแพทย์จีนจึงนิยมใช้สมุนไพรที่มีสรรพคุณในการทำความสะอาดหลอดเลือดและเส้นลมปราณ
เพื่อบำบัดอาการต่างๆ ของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และเป็นที่น่าสนใจคือวิธีการบำบัดนี้ยังเหมาะกับผู้ที่เป็นเบาหวาน
ความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง อัมพฤกษ์ อัมพาต ไขมันพอกตับ ฯลฯ
เนื่องจากโรคเหล่านี้ล้วนเกิดจากสาเหตุที่คล้ายคลึงกันและมีความสัมพันธ์เป็นลูกโซ่
ทั้งยังเพิ่มความรุนแรงซึ่งกันและกัน เรามักจะพบโรคดังกล่าวอยู่ในคนๆ เดียวกัน
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมการแพทย์จีนจึงใช้หลักการและวิธีบำบัดที่คล้ายๆ
กันกับผู้ป่วยกลุ่มนี้ ทั้งๆ
ที่แต่ละโรคดูจะไม่เหมือนกันในมุมมองของการแพทย์ตะวันตกก็ตาม
การวิจัยสมุนไพรจีนในทัศนะการแพทย์ปัจจุบัน
จากการวิจัยและทดลองทางการแพทย์และเภสัชวิทยาในปัจจุบันพบว่า
ยาสมุนไพรจีนที่อยู่ในรูปแบบของสารสกัดเป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด
เนื่องจากสามารถสกัดและควบคุมสารออกฤทธิ์ได้อย่างเข้มข้นและแม่นยำ
โดยมีกลไกออกฤทธิ์สำคัญดังนี้
- ปรับความสมดุลของร่างกาย โดยเฉพาะความสมดุลของตับ
ทำให้ตับมีการผลิตโคเลสเตอรอลในปริมาณที่เหมาะสมไม่มากเกินไป
เพื่อขจัดต้นเหตุสำคัญของโรคระบบหลอดเลือดและหัวใจ
- ฟื้นฟูการทำงานของตับอ่อน ทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินในปริมาณที่เหมาะสม
พร้อมทั้งส่งเสริมให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรคเบาหวานจึงค่อยๆ ทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด
- ลดภาวะการขาดเลือดของกล้ามเนื้อหัวใจ เพิ่มความสามารถในการบีบตัวและลดความต้องการออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจ
จึงบรรเทาอาการปวด แน่น จุกเสียดหน้าอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดความข้นของโคเลสเตอรอลและระดับไตรกลีเซอไรด์ เพิ่ม HDL โคเลสเตอรอลเพื่อนำ LDL โคเลสเตอรอลที่สะสมตามผนังหลอดเลือดกลับไปที่ตับเพื่อขจัดออกจากร่างกาย
- เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด สลายและยับยั้งการก่อตัวของลิ่มเลือด
ลดความเหนียวหนืดของเซลล์เม็ดเลือด จึงบำบัดความดันโลหิตสูง
ภาวะหลอดเลือดหัวใจและสมองตีบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจ
สมองและอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น
อาการปวด แน่น จุกเสียดหน้าอก หายใจไม่สะดวก
มึนศีรษะหรืออาการแขนขาอ่อนแรง ลิ้นชา พูดไม่ชัด ตามัว กลืนอาหารลำบาก
หรือเดินเซเหมือนคนเมาเหล้า จึงค่อยๆ ทุเลาลง หรืออาจหายไปได้ในที่สุด
Facebook
ขออนุญาตแนะนำบทความของเอินเวย์ค่ะ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นอย่างไร?
ปัจจุบัน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบในกลุ่มคนอายุ 35-
45 ปีมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี
เนื่องจากต้องดำเนินชีวิตแบบเร่งรีบและพึ่งพาอาหารสำเร็จรูปที่มี
ไขมันสูง
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบจึงไม่ใช่เป็นโรคของผู้สูงอายุอีกต่อไป ใน
กรณีหลอดเลือดหัวใจยัง
ตีบไม่มาก ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกอาการใดๆ อาการต่างๆ
จะเกิดขึ้นต่อเมื่อหลอดเลือดหัวใจตีบไปมากกว่า75%
จึงจะ แสดงอาการจุกเสียด แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอกเป็นบางครั้ง
หายใจไม่เต็มปอด ใจสั่น เหนื่อยง่าย รู้สึกอ่อนเพลียง่าย เป็นต้น
และที่สำคัญคือ เมื่อหลอดเลือดหัวใจตีบได้ หลอดเลือดส่วนอื่นๆ
ของร่างกาย เช่น หลอดเลือดสมองก็ตีบได้เช่นกัน ดังนั้น การทานยาขยายหลอดเลือด
การทำบอลลูน ตลอดจนการทำ By pass นั้น
อาจมิใช่ทางออกที่ดีที่สุดของผู้ป่วย
การแพทย์จีนมีวิธีการบำบัดที่ต้นเหตุอย่างไร ?
- ทะลวงเส้นเลือดให้โล่งขึ้น ลดความหนืดของเซลล์เม็ดเลือด
กระตุ้นระบบการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้เลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้มากขึ้น
- ปรับความสมดุลย์ของตับ ทำให้ตับผลิตไขมันในปริมาณที่เหมาะสม
ลดไขมันในกระแสเลือด
- ลดภาวะการขาดเลือดของกล้ามเนื้อหัวใจ เพิ่มความสามารถในการบีบตัวและลดความต้องการ
ออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจ จึงบรรเทาอาการปวดแน่น
จุกเสียดหน้าอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพิ่ม HDL เพื่อนำ LDL โคเลสเตอรอลที่สะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดให้กลับไปที่ตับเพื่อขจัดออกจากร่างกาย
- เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด
สลายและยับยั้งการก่อตัวของลิ่มเลือด ลดความเหนียวหนืดของเซลล์เม็ดเลือด
จึงบำบัดภาวะหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองตีบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือโรคหลอดเลือดสมองตีบเป็นโรคที่เรา
สามารถป้องกันและบำบัดได้จากที่ต้นเหตุ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าหนักใจอีกต่อไป...
มุ่งบำบัดที่ต้นเหตุ เน้นฟื้นฟูโดยองค์รวม
เอินเวย์ ผู้นำด้านเภสัชกรรมสมุนไพรจีน
นวัตกรรมสมุนไพรจีน เสริมสร้างสุขภาพ
สายด่วนสุขภาพเอินเวย์ : 02-7514399 ( 20 คู่สาย )
Line
ID @enwei หรือ @healthbalance
https://www.facebook.com/EnweiGroup/
https://www.youtube.com/c/ENWEIGROUP/videos
http://www.enwei.co.th/
#โรคหัวใจ #เส้นเลือดตีบ #หลอดเลือดหัวใจ #หลอดเลือดสมอง #หมอจีน #แพทย์จีน #เอินเวย์ #ยาจีน #สมุนไพรจีน #ยาสมุนไพร #เจ็บหน้าอก #Enwei
#หลอดเลือดสมองตีบ #ความดันโลหิตสูง #เบาหวาน #ลดไขมันในเลือด #ปวดแน่นจุกเสียดหน้าอก #ทำความสะอาดหลอดเลือด #สลายลิ่มเลือด #โคเลสเตอรอล #เจ็บหน้าอก #หายใจไม่เต็มปอด #ข้อเท้าบวม #ใจสั่น #อ่อนเพลีย #เป็นลม #จุกเสียด #แน่นหน้าอก #เหนื่อยง่าย
|